3. ดื่มเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง

สารประกอบในน้ำลูกยอ มีสารอนุมูลอิสระ คือ สารดัมนะกันทัล และสารโปรเซโรนิน ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการจับเซลล์มะเร็งมากยิ่งขึ้น โดยสารดัมนะกันทัลจะทำงานร่วมกับเซลล์ฆ่าเซลล์มะเร็ง และ ช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง

วิธีการดื่มสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ควรดื่มน้ำลูกยอในขณะท้องว่าง เวลาเช้า–เย็น ดื่มแต่ละครั้งในปริมาณที่มากกว่า 100 ml. หากเป็นมะเร็งระยะก้าวหน้า (ที่ 2–3) มีผลวิจัยว่าควรดื่ม 1 ขวดต่อวัน โดยดื่มวันละหลายๆ ครั้ง หรือ 2 วัน ต่อ 1 ขวด โดยดื่มวันละหลายๆ ครั้ง หลังจากนั้นควรดื่มครั้งละ 100 ml. จะได้ผลดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การดื่มน้ำลูกยอหลังการผ่าตัดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพไม่ให้เกิดเซลล์มะเร็งซ้ำอีก  เนื่อง จากสารในน้ำลูกยอนั้นจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ขอให้ดื่มน้ำลูกยออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าดื่มน้ำลูกยอแล้วจะเกิดอาการข้างเคียงก็ตาม ในกรณีที่ดื่มเพื่อสุขภาพควรดื่มต่อเนื่องทุกวันในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการดื่มเพื่อสุขภาพก็จะสามารถป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้เช่นกัน

4. ดื่มเพื่อป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

สารสโคโปลิติน ที่เป็นสารประกอบในน้ำลูกยอนั้นจะมีคุณสมบัติที่ช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและขยายตัว ซึ่งจะช่วยลดอัตราความดันของเลือดได้ นอกจากนี้ เม็ดเลือดที่สะอาดซึ่งมีส่วนผสมของน้ำลูกยออยู่ด้วยนั้น จะช่วยป้องกันการเกิดคลอเลสเตอรอลและกรดไขมัน จึงทำให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยลดความดันโลหิต ด้วยเช่นกัน

ในกรณีที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ควรดื่มน้ำลูกยอก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อในปริมาณครั้งละ 30–70 ml. หรือดื่มในขณะท้องว่างเวลาเช้า–เย็นในปริมาณครั้งละ 50–100 ml.

หลังจากที่ดื่มน้ำลูกยอแล้ว จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ แต่ก็ควรดื่มน้ำลูกยออย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากปวดศีรษะมาก ควรหยุดดื่มสักระยะแล้วจึงเริ่มดื่มน้ำลูกยออีกครั้งในปริมาณที่เท่ากับการดื่มครั้งแรก หรือควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ